กาวยาง เป็นกาวที่มีความนิยมใช้งานอย่างแพร่หลายในหลายอุตสาหกรรม เพราะสามารถใช้ยึดติดวัสดุต่างๆ ได้หลากหลายชนิด อย่างไรก็ตามคุณสมบัติเด่นที่ทำให้กาวยางแตกต่างจากกาวชนิดอื่น ๆ คือความสามารถของกาวยางในการสร้างแรงยึดเกาะติดที่สูงมาก กาวยางนิยมใช้ในงานตกแต่งภายในหรือบิ้วอินท์ งานเฟอร์นิเจอร์ งานประดิษฐ์ ไปจนถึงงานซ่อมแซมสิ่งของ และ DIY กาวยางในท้องตลาด มีทั้งกาวยางชนิดทา และกาวยางชนิดพ่น วันนี้เราจะพาไปดูกันว่าเราจะเลือกใช้กาวยางชนิดไหนให้เหมาะกับประเภทงาน
อยากรู้ กาวยางที่ดี ควรมีคุณสมบัติอย่างไร คลิ๊กเลย!
อยากอ่านหัวข้อไหน คลิ๊กเลย!
1. ทำความรู้จัก “กาวยาง”
กาวยาง เป็นกาวสีเหลืองทอง มีเนื้อเหลวหนืด ยืดหยุ่น กาวยางมีส่วนผสมหลักทำมาจากยางนีโอพรีน ซึ่งเป็นยางสังเคราะห์ที่มีคุณสมบัติทนความร้อน ทนสารเคมี ทนต่อการติดไฟ ทนต่อสภาพอากาศ และมีแรงยึดติดที่ดีมาก
กาวยาง ถือว่าเป็นกาวอเนกประสงค์ เนื่องจากสามารถนำไปใช้ยึดติดวัสดุต่างๆได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น หนัง หญ้าเทียม พลาสติก โลหะ แผ่นไม้อัด หรือยาง เป็นต้น แต่ที่นิยมนำไปใช้งานมากที่สุดจะเป็นการนำไปใช้ประสานแผ่นลามิเนตเข้ากันไม้อัด ในวงการบิ้วอินท์ และเฟอร์นิเจอร์
อยากรู้ กาวยางใช้ติดวัสดุอะไรได้บ้าง คลิ๊กเลย!
จุดเด่นของกาวยางที่แตกต่างจากกาวชนิดอื่นๆ คือ ความสามารถในการสร้างแรงยึดเกาะที่ดีเยี่ยมในระยะเวลาสั้น มีความทนทานต่อความร้อนได้ดี รวมไปถึงสามารถทนความชื้นได้ในระดับหนึ่ง
กาวยางเป็นกาวที่ต้องทาลงไปบนวัสดุทั้ง 2 ชิ้นที่จะนำมาติดกัน แล้วรอให้แห้งประมาณ 7-15 นาที เพื่อให้สารทำละลายที่ผสมในกาวยางระเหยออกจนหมด เหลือแต่ส่วนเนื้อกาวบนผิววัสดุ จากนั้นจึงนำวัสดุมาติดกันแล้วรีดให้เรียบเอาอากาศออก วัสดุทั้งสองชิ้นจะยึดติดกันในทันที แต่การยึดเกาะที่แน่นคงทน จะเกิดขึ้นหลังประกบวัสดุทิ้งไว้ประมาณ 24 ชั่วโมง
กาวยางมีระยะเวลาเก็บไว้ใช้งานได้โดยไม่เสื่อมสภาพอยู่ที่ประมาณ 8-12 เดือน
2. กาวยางชนิดทา และ ชนิดพ่น แตกต่างกันอย่างไร
กาวยางในท้องตลาดมีให้เลือกทั้งชนิดทา และชนิดพ่น ซึ่งข้อแตกต่างหลักๆจะอยู่ที่ความข้นหนืดของกาว โดยกาวยางชนิดพ่น จะมีความข้นหนืดที่ต่ำกว่าชนิดทา อย่างต่ำ 5-6 เท่า (หรือพูดง่ายๆ คือ กาวยางชนิดพ่น จะเหลวกว่ามาก) นั่นก็เพื่อที่จะให้กาวยางสามารถพ่นออกมาจากกาพ่นได้นั่นเอง
SB Tip : รู้หรือไม่ ความข้นหนืดของกาว ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับแรงยึดเกาะของกาว
อยากรู้ “กาวยางยิ่งหนืดข้น ยิ่งยึดติดดี” จริงหรือไม่ คลิ๊กเลย!
3. เลือกใช้งานอย่างไรให้เหมาะกับประเภทงาน
กาวยางชนิดทา และ กาวยางชนิดพ่น มีคุณสมบัติในด้านแรงยึดเกาะที่คล้ายคลึงกันมาก โดยจะแตกต่างกันที่วิธีใช้งานเท่านั้น
กาวยางชนิดทา ในปัจจุบันยังคงเป็นที่นิยมมากกว่า เนื่องจากไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ในการทำงานเยอะ จึงสามารถทากาวได้ทุกที่ ทุกเวลา สะดวกเหมาะสำหรับการทำงานตกแต่งทั้งในโรงงาน และหน้าไซต์งาน รวมไปถึงไม่จำเป็นต้องมีไฟฟ้า ก็สามารถทำงานได้ นอกจากนี้กาวยางชนิดทา ยังเหมาะมากกับการทากาวบนวัสดุที่เล็ก แคบ ก็จะไม่เลอะเทอะ ฟุ้งกระจาย อย่างไรก็ตาม หากทากาวบนวัสดุที่มีหน้าชิ้นงานที่ใหญ่ หรือกว้างมาก การทากาวจะใช้เวลามากกว่าสำหรับผู้ใช้งานที่ยังไม่มีความชำนาญในการทากาว รวมไปถึงการทากาวให้ครอบคลุมบนพื้นผิววัสดุให้เรียบเท่ากันทั้งแผ่น ผู้ใช้งานต้องอาศัยทักษะฝึกฝนอีกด้วย
ในส่วนของกาวยางชนิดพ่น จะนิยมอย่างมากในการทำงานกับวัสดุที่มีขนาดใหญ่ หรือหน้ากว้าง เนื่องจากการพ่นสามารถทำได้ง่ายและไวกว่า โดยที่ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องฝึกฝนทักษะมาก นอกจากนี้การพ่นกาวยางยังเหมาะกับชิ้นงานแนวดิ่ง เช่น งานผนัง งานเพดาน เพราะการพ่นกาวยางในแนวดิ่งจะป้องกันการหยดได้ดีกว่าการทา การพ่นกาวยางเพื่อทำเฟอร์นิเจอร์หรือบิ้วอินท์ชิ้นใหญ่ เช่น หัวเตียง โซฟา ตกแต่งภายในรถยนต์ จึงเป็นที่นิยมอย่างมาก
4. คำถาม : อุปกรณ์ในการใช้กาวยางชนิดทา vs. กาวยางชนิดพ่น?
อุปกรณ์ในการใช้งานกาวยางชนิดทา
- หวีปาดกาว
อุปกรณ์ในการใช้งานกาวยางชนิดพ่น
- กาพ่นสี ชนิดกาบน ขนาดหัวกา 2.0 มิลลิเมตรขึ้นไป
- สายลมใยสังเคราะห์แบบถัก
- ปั๊มลม ขนาดมอเตอร์ 1 แรงม้าขึ้นไป ขนาดถังลม ความจุ 50 ลิตรขึ้นไป (แรงอัดลมที่ใช้ขณะพ่นกาว ควรใช้แรงอัด 7 บาร์/100ปอนด์ขึ้นไป)
- น้ำยาลบคราบกาว สำหรับล้างกาพ่นกาวหลังใช้งานเสร็จ
5. คำถาม : สามารถนำกาวยางชนิดพ่น มาทาได้หรือไม่?
เนื่องจากกาวยางชนิดพ่น มีความข้นหนืดที่ต่ำมาก จึงไม่แนะนำให้นำมาทาด้วยหวีปาดกาว เนื่องจากจะควบคุมการทำงานได้ยาก และกาวจะหยดเลอะเทอะได้
อย่างไรก็ตาม กาวยางชนิดพ่น สามารถนำมากลิ้งได้ โดยใช้ลูกกลิ้งทาสีชนิดขนสั้นในการนำมากลิ้ง โดยให้นำกาวยาง มาเทใส่ถาดใส่สี จากนั้นนำลูกกลิ้งมากลิ้งให้กาวครอบคลุมทั้งลูกกลิ้ง จากนั้นให้นำลูกกลิ้งเคลือบกาวมากลิ้งลงบนวัสดุ โดยให้ค่อยๆกลิ้งไป-กลับสั้นๆ ช้าๆ
สินค้าในบทความ